Original article
N Engl J Med April 10, 2014
ที่มา: จากแนวทางของ American College of Cardiology และ American Heart Association (ACC–AHA) ปี 2013 ในการรักษาคอเลสเตอรอลซึ่งขยายข้อบ่งชี้สำหรับการรักษาด้วยยาสแตติน (statin)เพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
วิธีการศึกษา: โดยการใช้ข้อมูลจาก National Health and Nutrition Examination Surveys ในช่วงปี 2005 - 2010 ทำการประเมินจำนวนและสรุปรายละเอียดปัจจัยความเสี่ยงของผู้ที่ควรจะได้รับการรักษาด้วยยาสแตติน (เช่น ผู้ที่เข้าเกณฑ์) ภายใต้แนวทางใหม่ของ ACC-AHA เปรียบเทียบกับแนวทางของ Third Adult Treatment Panel (ATP III) ของ National Cholesterol Education Program และทำการประเมินผลในประชากรชาวอเมริกันช่วงอายุ 40- 75 ปี จำนวน115.4 ล้านคน
ผลการศึกษา: เพื่อเทียบกับแนวทางของ ATP-III แนวทางใหม่นี้จะเพิ่มจำนวนของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันให้ได้รับหรือเข้าเกณฑ์การรักษาด้วยยาสแตตินจาก 43.2 ล้านคน (37.5%) มาเป็น 56.0 ล้านคน (48.6%) โดยส่วนใหญ่ของการเพิ่มขึ้นในตัวเลขนี้ (10.4 ล้านคน จาก 12.8 ล้านคน) จะเป็นผู้ที่ไม่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยในผู้ที่อายุ 60 - 75 ปี ที่ไม่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาสแตติน พบว่ามีการเข้าเกณฑ์เพิ่มขึ้นจาก 30.4% เป็น 87.4% ในผู้ชาย และจาก 21.2% เป็น 53.6% ในผู้หญิง ผลที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากแรงผลักดันอย่างมากเนื่องจากการเพิ่มจำนวนของผู้ได้รับการจัดระดับความเสี่ยงของการเกิดเหตุการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีข้างหน้่า (10-year risk of a cardiovascular event)
ผู้ที่จะเข้าเกณฑ์รายใหม่ในการรักษาด้วยยาสแตตินพบว่าเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงร่วมกับการมีความดันโลหิตที่สูงแต่มีระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL ต่ำอย่างมากเมื่อเทียบกับแนวทางของ ATP-III, แนวทางใหม่จะแนะนำการรักษาด้วยยาสแตตินในผู้ใหญ่มากขึ้นในผู้ซึ่งได้รับการคาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ของโรคหลอดเลือดและหัวใจในอนาคต (มีความไวสูงกว่า) แต่ยังจะรวมถึงอีกหลายคนที่จะไม่มีเหตุการณ์ในอนาคต (ความเฉพาะต่ำกว่า)
สรุป: แนวทางใหม่ของ ACC-AHA ในการรักษาคอเลสเตอรอลจะเพิ่มจำนวนของผู้เข้าเกณท์ในการรักษาด้วยยาสแตติน 12.8 ล้านคน ซึ่งการเพิ่มขึ้นจะพบได้ในส่วนใหญ่ของผู้สูงอายุที่มิได้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
อ้างอิงและอ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa1315665
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น