-ให้พิจารณาเริ่มยาต้านไวรัสตามคำแนะนำของผ้เชี่ยวชาญหรือWHO ดังนี้
1. CD4 น้อยกว่า 200 เมื่อผู้ป่วยสามารถรับประทานยารักษาวัณโรคได้ดีอย่างน้อย 2-8 สัปดาห์ จึงเริ่มยาต้านไวรัส
2. CD4 200 – 350 ให้การรักษาด้วยยารักษาวัณโรคประมาณ 2 เดือน จึงเริ่มยาต้านไวรัส
3. CD4 มากกว่า 350 ยังไม่เริ่มยาต้านไวรัส ให้ติดตามอาการและตรวจระดับ CD4 ทุก 6 เดือน
-ในกรณีที่ไม่มี rifampicin ในสูตรยารักษาวัณโรค ให้พิจารณาเริ่มยาต้านไวรัส ตามแนวทางปกติ (หัวข้อ 3.3 ในหนังสืออ้างอิงนี้)
-ในกรณีที่มี rifampicin ในสูตรยารักษาวัณโรค ให้ใช้ EFV เนื่องจากการให้ Rifam กับ NVP จะลดละดับยา NVP ลง 20 - 58 % แนะนำให้เปลี่ยนมาใช้ EFV ในขนาด 600 mg/day ในรายที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 60 kg และใช้ขนาด 800 mg/day ในรายที่มีน้ำหนักมากกว่าหรือเท่ากับ 60 kg
-ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถทนสูตรยาต้านไวรัสที่มี EFV ให้เปลี่ยนมาใช้ NVP ในขนาดปกติ (400 mg/day) ร่วมกับ rifampicin ได้(ไม่ต้อง lead-in NVP)
-ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถทนสูตรยาต้านไวรัสที่มี EFV หรือ NVP ได้และไม่สามารถรอให้รักษาวัณโรคจนครบระยะเวลาการรักษาก่อน (เช่น ระดับ CD4 <100 cells/mm3) ให้ใช้สูตรยารักษาวัณโรคเป็นสูตรยาที่ไม่มี rifampicin ร่วมกับยาต้านไวรัสที่เป็น PIs-based regimen
-ผ้ปู่วยที่ไี่ด้รับ NVP-containing HAART อยู่ก่อนแล้ว ต่อมาเป็นวัณโรค สามารถให้การรักษาวัณโรคด้วยสูตรยาที่มี rifampicin ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยน NVP เป็น EFV
หมายเหตุ
Lead-in NVP หมายถึง การให้ NVP วันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนจะเพิ่มเป็นวันละ 2 ครั้งตามขนาดมาตรฐานเพื่อลดผลข้างเคียง ที่พบได้บ่อยและรุนแรง ได้แก่ ผื่นแพ้ ซึ่งอาจจะรุนแรงถึง Steven Johnson Syndrome และปัญหาตับอักเสบ ซึ่งอาจรุนแรงถึง hepatic failure ได้
อ้างอิงและอ่านเพิ่มเติม: แนวทางการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษา ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ระดับชาติ ปี 2553
เพื่อการเรียนรู้ medicine และสุขภาพที่ดีของประชาชน (community hospital) * เดิมคือ Phimaimedicine.blogspot.com * ตอนนี้มาปฏิบัติงานอยู่ที่ รพ. ขนอม นครศรีธรรมราชครับ
วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น