ภายหลังที่เริ่มให้ยาต้านไวรัสควรมีการประเมินทั้งผลข้างเคียงระยะสั้น และระยะยาว ถ้าจำเป็นอาจต้องเปลี่ยนสูตรยา อาการผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสเอดส์ ส่วนใหญ่ มักไม่ค่อยรุนแรง และจะเกิดในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังเริ่มยา เช่น คลื่นไส้ ปวดศีรษะเวียนศีรษะ มึนงง เพียงรักษาตามอาการเล็กๆน้อยๆ หรือทนเอา ก็จะหายไปภายใน 2-3 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามบางรายอาจเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรง จนถึงขั้นต้องหยุดยาต้านฯ จึงจำเป็นต้องติดตามทั้งอาการและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างใกล้ชิด
ผลข้างเคียงของยาที่พบได้บ่อยๆ คือ
Anemia เกิดจาก AZT มีอาการลุกแล้วหน้ามืด เวียนศีรษะ ใจสั่น พบเยื่อบุตาซีด perfusion ของ
เล็บไม่ดี ควรส่งตรวจ CBC
Rash เกิดจาก NVP, EFV มีอาการคัน ผื่นแดง ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง ยังให้ยาต่อไปได้ แต่ต้องมี
การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด แต่ถ้าผื่นเป็นมาก หรือมีผื่นร่วมกับไข้ หรือ involve เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก หรือมีปัสสาวะแสบขัด ต้องหยุดยาต้านฯ ทันที
Peripheral neuropathy เกิดจาก ddI, d4T มีอาการชา/ปวด ตามมือตามเท้า แขนและขา รู้สึก
เหมือนสวมถุงมือหรือถุงเท้า บางครั้งอาจปวดร้าว หรืออาจลุกเดินไม่ได้
Lactic acidosis มักจะเกิดหลังจากที่ผู้ป่วยกินยา สูตรที่มี d4T หรือ d4T/ddI มา >6 เดือนขึ้นไป
ผู้ป่วยมักให้ประวัติว่า มีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร นํ้าหนักลด หากปล่อยไว้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิต ถ้าไม่สามารถเจาะ Lactate ได้ ให้พิจารณาส่ง LDH, SGOT/SGPT แทน ต้องหยุดยาต้านฯ ทันที
Ref: คู่มือพยาบาลสำหรับการปฏิบัติงานในคลินิกเอชไอวี ฉบับปรับปรุงใหม่ ปี 2553
เพื่อการเรียนรู้ medicine และสุขภาพที่ดีของประชาชน (community hospital) * เดิมคือ Phimaimedicine.blogspot.com * ตอนนี้มาปฏิบัติงานอยู่ที่ รพ. ขนอม นครศรีธรรมราชครับ
วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555
1,585. การประเมินผลข้างเคียงของยา (Side-effects follow-up) ในการเริ่มยาต้านไวรัส
ป้ายกำกับ:
Drug,
Infectious disease
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น