จากข้อมูลแม้จะไม่มีผล AntiHBc IgM แต่ผู้ป่วยอาการปกติคงไม่น่าจะมี Acute hepatitis B ดังนั้น AntiHBc IgM น่าจะ negative และไม่มีผล AntiHBs แต่ก็น่าจะเป็น negative เพราะโอกาสที่จะมี HBsAg และ AntiHBs positive พร้อม ๆ กันน้อยมาก ดังนั้นจึงเข้าได้กับการมี Chronic hepatitis B ส่วนการที่มี HBeAg: positive แปลผลได้ว่ามี active viral replication และเมื่อมาดูพบว่ามี SGOT และ SGPT สูงขึ้นเล็กน้อย(ถ้าไม่มีสาเหตุอื่น)
ผู้ป่วยที่สมควรจะได้รับการรักษาได้แก่ผู้ป่วยที่ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. ตรวจพบว่ามี HBsAg ในเลือดไม่ต่ำกว่า 6 เดือน2. มีการตรวจพบว่ามี active viral replication ซึ่งสามารถดูได้จากการมี HBeAg positive หรือในกรณีที่ HBeAg negative ควรมีระดับของ HBV DNA มากกว่า 105 copies/ml
3. ควรจะมีการเพิ่มของระดับ serum aminotransferase ไม่ต่ำกว่า 2 เท่า
4. นอกจากนี้ควรจะมีการตรวจพยาธิสภาพของตับเพื่อยืนยันว่าสาเหตุของการเพิ่มของ serum aminotransferase เป็นจากไวรัสตับอักเสบ บี และมีลักษณะทางพยาธิวิทยาบ่งชี้ว่ามีการอักเสบลุกลามของเนื้อตับอันเนื่องมาจากไวรัสตับอักเสบชนิด บี ซึ่งควรมีระดับของ HAI มากกว่าหรือเท่ากับ 5
5. ขนาดและการบริหารยาพร้อมแนวทางปฏิบัติดังแสดงในตารางที่ 1 และ ภาพที่ 1(อ่านเพิ่มตาม link)
6. ในการรักษาควรประเมินด้วยว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงในการเกิด co-infection มากหรือไม่ หากมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ hepatitis C หรือ human immunodeficiency virus ควรได้รับการตรวจก่อนการรักษารวมถึงสาเหตุอื่นๆที่อาจทำให้การทำงานของตับผิดปกติ สำหรับ hepatitis D พบได้น้อยมากในประเทศไทยยกเว้นผู้ป่วย chronic hepatitis B ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น