Erythrocyte sedimentation rate- ESR มีหลักการอย่างไร มีข้อบ่งชี้อย่างไร แปลผลอย่างไร มีข้อควรพิจารณาอย่างไร
น้องสนตอบมาได้ละเอียดดี งั้นขอเสริมนะครับ
หลักการ: เมื่อมีการอักเสบในร่างกาย ตับจะเกิดปฏิกิริยาโดยการสร้างสารโปรตีนชนิดหนึ่งออกมาในเลือดมากขึ้น สารโปรตีนนี้จะมีผลทำให้เม็ดเลือดแดงเกิดการเกาะติดกันได้ง่าย หากเจาะเลือดของผู้ป่วยที่มีการอักเสบใส่หลอดที่มีสารป้องกันการแข็งตัว แล้วตั้งทิ้งไว้สักพัก ก็จะเห็นว่ามีการแยกชั้นของส่วนที่เป็นเลือดและส่วนที่เป็นน้ำเหลืองในเวลาไม่นาน ทั้งนี้เพราะสารโปรตีนนี้จะทำให้เม็ดเลือดแดงเกิดเกาะติดกัน แล้วก็พากันไปตกตะกอนอยู่ที่ก้นหลอดนั่นเอง ค่าของ ESR ก็คือระยะทางเป็นมิลลิเมตรที่เม็ดเลือดแดงตกตะกอนลงมาอยู่ที่ก้นหลอดแก้วในเวลา 1 ชั่วโมง ยิ่งค่าของ ESR สูงก็ยิ่งแสดงว่ามีการอักเสบมาก
แพทย์จึงใช้ค่า ESR ในการติดตามผลการรักษาว่าดีขึ้นหรือไม่ ค่า ESR มีการแปรผันมาก ค่าจะเปลี่ยนแปรไปตามอายุ เพศ ยาที่ใช้ และโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ โดยทั่วไปค่าสูงสุดในคนปกติ
-ในชาย = อายุเป็นปี หารด้วย 2
-ในหญิง = อายุเป็นปี + 10 แล้วหารด้วย 2
นั่นคือค่า ESR ของผู้หญิงจะสูงกว่าของผู้ชายในวัยเดียวกันเล็กน้อย
ข้อบ่งชี้ในการส่งตรวจ :
1.) ตัวชี้วัด (Indicator) สำหรับ inflammatory diseases และ tissue injury
2.) เพื่อติดตามผลของการรักษาหรือการดำเนินโรคของ inflammatory diseases
ข้อควรพิจารณา
การแปลผล ESR ควรทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากมีปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการตกของเม็ดเลือดแดง เช่น อายุ เพศ ภาวะซีด ภาวะเลือดข้น เม็ดเลือดแดงมีขนาดหรือรูปร่างผิดปกติ การเกาะกลุ่มกันของเม็ดเลือดแดง (autoagglutination) การตั้งครรภ์ ระยะของรอบประจำเดือน การใช้ยาบางชนิด ฯลฯ
http://www.si.mahidol.ac.th/th/manual/Project/Document/E/Erythrocyte%20sedimentation%20rate%20(ESR).htm
http://www.thairheumatology.org/show_answeer.php?id_question=464
เพื่อการเรียนรู้ medicine และสุขภาพที่ดีของประชาชน (community hospital) * เดิมคือ Phimaimedicine.blogspot.com * ตอนนี้มาปฏิบัติงานอยู่ที่ รพ. ขนอม นครศรีธรรมราชครับ
วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
หลักการ
ตอบลบ>>ใช้หลักการตกตะกอน โดยเลือดนั้นประกอบด้วย Plasma และ Cell, Cell มักมี RBC มาก โดย RBC มีพื้นผิวประจุเป็นลบ, ใน Plasma มี Fibrinogen และ อื่น ๆ [เดาว่า Fibrinogen และ อื่น ๆ(Acute phase Reactant) นั้น น่าจะมีประจุเป็นบวก] จึงทำให้ RBCs ทั้งหลายนั้นมาเกาะกันมากขึ้นเป็น rouleaux ทำให้ตกตะกอนง่ายขึ้นเพราะมวลมาก [ตกตะกอนเร็วค่า ESR มากเพราะ ESR มีหน่วยเป็น mm/hr]
ข้อบ่งชี้
>>จากหลักการดังกล่าว ESR จึงใช้วัดสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในเลือด โดยเฉพาะ Plasma ซึ่งอาจจะมีสารบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม [เน้นว่าในด้านปริมาณ] ทำให้เลือดตกตะกอนเร็วขึ้น สารที่ว่านั้น หลัก ๆ คือ Fibrinogen และ Acute phase reactant อื่น ๆ (รวม ImmunoGlobulin ด้วย)ซึ่งสารพวกนี้เกิดขึ้นมาจาก กระบวนการ Inflammation นั่นเอง
ESR จึงใช้วัด อะไร ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิด InFlammation ได้อย่างคร่าว ๆ
แปลผล
>> ความแปรปรวนของ ESR มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการวัดค่าที่ได้ โดยเริ่มตั้งแต่
1. Cell โดยถ้า Cell[mainly RBCs] ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่จำนวน ขนาด รูปร่าง ก็มีผลต่อ ESR ทั้งนั้น เพราะ Net negative charge ของ RBCs เปลี่ยนไป
2. Plasma โดยถ้า มีการเปลี่ยนแปลงในระดับของ Fibrinogen, Acute phase Reactant, Ig ก็มีผลต่อ ESR เช่นเดียวกัน
ข้อควรพิจารณา
1. ESR เป็น Indirect measurement ต้องแปลผลร่วมกับ Clinical และอาจต้องวัด Acute phase reactant ตัวอื่น ร่วมด้วย เช่น CRP
2. ESR ที่สูงมาก[>100] มี DDX ไม่กี่โรค มักเกี่ยวกับโรค Autoimmune และ Chronic systemic inflamation, Ig disease ect.
3. ESR ในผู้หญิงค่าปกติสูงกว่าผู้ชายและสูงขึ้นตามอายุ ในคนท้อง ESR สูง คิดว่าน่าจะเกิดจาก RBCs mass เพิ่มมากขึ้น ??